ประเพณีจังหวัดอุบลราชธานี
( งานแห่เทียนพรรษา งานประเพณีไหลเรือไฟ )
งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี
จัดให้มีขึ้นในวันอาสาฬบูชา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 และวันเข้าพรรษา
บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท
คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ
พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจากหน้าวัดศรีอุบลรัตนารามไปตามถนน
มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง งานประเพณีไหลเรือไฟ บริเวณเชิงสะพานรัตนโกสินทร์ 200
ปี มีการไหลเรือไฟของคุ้มวัดต่างๆ จัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา
(ประมาณเดือนตุลาคม) ประเพณีไหลเรือไฟเป็น
ประเพณีสำคัญที่ชาวอีสานสืบทอดปฏิบัติใน เทศกาลออกพรรษาทำกันในวันขึ้น 15 คํ่า หรือ แรม 1 คํ่า เดือน 11 ตามแม่นํ้า
ลำคลอง
"เรือไฟ"หรือภาษาถิ่นเรียกว่า
"เรือไฟ"นี้เป็นเรือที่ทำด้วยต้นกล้วย
ท่อนกล้วยหรือไม้ไผ่ต่อเป็นลำเรือยาวประมาณ 5-6 วา ข้างในบรรจุขนม ข้าวต้มผัดหรือสี่ง
ที่ต้องการบริจาคทาน ข้างนอกเรือมีดอกไม้ ธูปเทียน ตะเกียง ขี้ไต้
สำหรับจุดให้สว่างก่อน จะปล่อยเรือไฟซึ่งเรียกว่า "การไหลเรือไฟ" หรือ
"ปล่อยเฮือไฟ" พิธีและกิจกรรม
ก่อนถึงวันงานไหลเรือไฟชาวคุ้ม วัดจะช่วยกันประดิษฐ์ตกแต่งเรือไฟด้วย ต้นกล้วยไม้ไผ่หรือวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีรูปร่างลักษณะ
เหมือนเรือมีความยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร
จะประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่า สวยงาม
มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อ
ความสวยงามและเพื่อให้การจุดประทีปโคมไฟอยู่ได้ ทนทาน เมื่อถึงวันงานก็จะมีขบวนสนุกสนานสวย
งามด้วย ตอนกลางคืนจะมีการไหลเรือไฟจะสุดอยู่ที่แม่น้ำโขง
งานสดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์
(เจ้าคำผง)
พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนแรก เป็นบุตรของเจ้าพระตาและนางบุศดี เกิดเมื่อ
พ.ศ. 2252 ณ นครเวียงจันทน์ ท่านเป็นหลานปู่เจ้าปางคำ
ราชวงศ์เชียงรุ้ง ผู้สร้างเมืองหนองบัวลุ่มภู (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน)
หรือนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ในปี พ.ศ. 2311 เจ้าพระตากับเจ้าพระวอ
เกิดผิดใจกันกับพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์
ฝ่ายเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาตีเมืองหนองบัวลุ่มภู ต่อสู้กันอยู่ 3 ปี ฝ่ายเมืองหนองบัวลุ่มภูเห็นว่า นานไปจะสู้ฝ่ายเวียงจันทน์ไม่ได้แน่
จึงไปขอกองทัพจากพม่าที่เชียงใหม่มาช่วยรบ
แต่กองทัพพม่าได้ยกมาสมทบกับกองทัพเวียงจันทน์ตีเมืองหนองบัวลุ่มภูแตก เจ้าพระตาตายในสนามรบ
เมื่อเมืองหนองบัวลุ่มภูแตก
เจ้าพระตาตายในสนามรบ เจ้าพระวอกับเจ้าคำผงและพวกจึงต้องทิ้งเมืองหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
จนได้ไปอาศัยพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งนครจำปาศักดิ์
โดยตั้งค่ายอยู่บ้านดู่บ้านแก แขวงเมืองจำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารได้ขอเอาเจ้านางตุ่ย
พระธิดาของเจ้าอุปราชธรรมเทโว ให้เป็นชายาของเจ้าคำผง
และทรงแต่งตั้งให้เจ้าคำผงเป็นพระปทุมสุรราช ผู้ช่วยเจ้าพระวอ
นายกองนอก ต่อมาพระปทุมสุรราชจึงทรงขอ อพยพมาอยู่ดอนมดแดง
หลังจากที่พระปทุมสุรราชทรงขออพยพมาอยู่ดอนมดแดง
แล้วพระเจ้าสิริบุญสารได้ทราบว่า
เจ้าพระวอกับพวกมาตั้งอยู่ที่ค่ายบ้านดู่บ้านแกแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์
และเจ้าพระวอมีกำลังพลน้อย จึงให้พระยาสุโพยกทัพมาตีค่ายบ้านดู่บ้านแกแตก
เจ้าพระวอตายในที่รบ พระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง)
เห็นว่าจะสู้กองทัพเวียงจันทน์ไม่ได้ จึงขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพมาช่วย
เมื่อทราบสาเหตุจากพระปทุมสุรราชแล้ว จึงยกทัพตามตีทัพพระยาสุโพไปจนถึงเวียงจันทน์
ได้รบกันอยู่ 4 เดือน เวียงจันทน์จึงแตกเมื่อ พ.ศ. 2322
(สงครามครั้งนี้ส่งผลให้อาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 แห่ง ตกเป็นประเทศราชของไทยสืบมา
จนกระทั่งไทยเสียดินแดนเหล่านี้ให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย) ในปี พ.ศ. 2319 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ดอนมดแดง
พระประทุมสุรราชจึงทรงพาไพร่พลอพยพหนีน้ำมาอยู่ที่ดอนริมห้วยแจระแม(อยู่เหนือตัวเมืองอุบลราชธานีปัจจุบันประมาณ
8 ก.ม.) เมื่อน้ำลดจึงย้ายไปที่ดงอู่ผึ้ง
ริมแม่น้ำมูลเพื่อสร้างเมืองใหม่
เมื่อแล้วเสร็จจึงมีใบบอกลงไปกราบทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีขอตั้งเป็นเมืองอุบล
พระเจ้ากรุงธนบุรีให้ตั้งเมืองตามที่ขอไป โปรดเกล้าฯ ให้พระปทุมสุรราชเป็น
"พระปทุมราชวงศา" เจ้าเมืองอุบลองค์แรกเมื่อ พ.ศ. 2321 เมื่อพระประทุมราชวงศาร่วมมือกับเจ้าฝ่ายหน้าผู้เป็นน้องชาย
ซึ่งไปตั้งกองนอกเก็บส่วยอยู่ที่บ้านสิงห์ท่า (เมืองยโสธรในเวลาต่อมา)
และกองทัพเมืองนครราชสีมาช่วยกันปราบกบฏอ้ายเชียงแก้วได้
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระประทุมราชวงศา เป็น
"พระประทุมวรราชสุริยวงศ์" และเสริมนามเมืองอุบลขึ้นเป็น "เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลประเทศราช" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพ
เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช
1154 (พ.ศ. 2335) ส่วนเจ้าฝ่ายหน้าก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ
เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ครองเมืองอุบลราชธานีมาตั้งแต่ตั้งเมืองมาเป็นเวลา
17 ปี จนถึง พ.ศ. 2338 จึงถึงแก่อนิจกรรม
สิริรวมอายุได้ 85 ปี มีการทำพิธีเผาพระศพด้วยเมรุนกสักกะไดลิงก์ที่ทุ่งศรีเมือง
แล้วเก็บอัฐิบรรจุธาตุไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองตรงบริเวณที่เป็นธนาคารออมสิน
สาขาอุบลฯ ทุกวันนี้ ต่อมาภายหลังมีสร้างเรือนจำขึ้นในบริเวณนั้น
จึงย้ายอัฐิไปไว้ที่วัดหลวง และยังอยู่จนปัจจุบัน ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ของพระปทุมวรราชสุริยวงศ์
ประดิษฐานอยู่ที่ริมทุ่งศรีเมือง
กลางเมืองอุบลราชธานีพระประทุมวรราชสุริยวงศ์เป็นต้นกำเนิดของสายสกุลต่างๆ
ในเมืองอุบลราชธานีหลายสกุล เช่น ณ อุบล -
สกุลนี้สืบเชื้อสายพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ และเจ้าอุปราชธรรมเทโวแห่งนครจำปาสัก
ทางฝ่ายพระมารดา สายอุปฮาด (สุดตา) และอุปฮาด (โท)
ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลสายนี้คือ พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล)
กรมการเมืองพิเศษเมืองอุบลราชธานีในสมัยรัชกาลที่ 5 สุวรรณกูฏ
- สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่3
บุตรของพระประทุมฯ ,พระบริคุฏคามเขต (โหง่นคำ
สุวรรณกูฏ) เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล สิงหัษฐิต -
สายนี้สืบเชื้อสายมาจากพระเกษโกมลสิงห์ขัตติยะ หลานของพระพรหมราชวงศา (กุทอง
สุวรรณกูฏ) ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล คือ พระวิภาคย์พจนกิจ (หนูเล็ก สิงหัษฐิต -
บิดาของเติม วิภาคย์พจนกิจ ผู้เขียนหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน) ทองพิทักษ์ -
สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางอุปฮาด (สุดตา) พี่ชายของพระพรหมราชวงศา (กุทอง
สุวรรณกูฏ) บุตรของพระประทุมฯ ท้าวไกรยราช (พู) บุตรของอุปฮาด
เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล อมรดลใจ - สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระอมรดลใจ
(ท้าวสุริยวงศ์ อ้ม) เจ้าเมืองตระการพืชผลคนแรก ท่านนี้เป็นบุตรพระพรหมราชวงศา
(กุทอง สุวรรณกูฏ) และเป็นเขยเจ้าครองนครจำปาสัก
เหตุที่ จัดงาน สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)” ในวันวันที่ 10 พฤศจิกายน ของทุกปี เนื่องเพราะวันที่ 10 พฤศจิกายน ตั้งแต่ พ.ศ. 2539
เป็นต้นมา ชาวอุบลราชธานีได้ร่วมกันจัดงาน
"สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)” ผู้สร้างเมืองอุบลฯ
/ เจ้าเมืองคนแรก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
องค์ปฐมบรมราชวงศ์จักรี ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2335 ตามจดหมายเหตุ รัชกาลที่ 1 เรื่อง
ตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานี ดังนี้ สาเหตุที่ได้กำหนดเอาวันที่ 10 พฤศจิกายน เป็นวัน "สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)”
การกำหนดวันบวงสรวงพระประทุมวรราชสุริยวงศ์
(เจ้าคำผง) โดย นายบุญตา หาญวงศ์ประธาน กกต. จว. อุบลราชธานี
มีที่มาตามบันทึกการประชุมว่า เมื่อประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้านายบุญตา
หาญวงศ์ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมในการเตรียมการบวงสรวงพระประทุมวรราชสุริยวงศ์
(เจ้าคำผง) ที่ประชุมได้อภิปรายอย่างกว้างขวางถึงวันบวงสรวงว่า จะถือเอาวันประสูติ
หรือ วันถึงแก่อสัญกรรม ในที่สุดที่ประชุม
เห็นพ้องต้องกันให้ถือเอาวันถึงแก่อสัญกรรม โดยคุณพ่อบำเพ็ญ
ณ อุบล ได้ให้ข้อมูลแต่เพียงวันถึงแก่อสัญกรรม ตรงกับวันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 เท่านั้น เมื่อเปิดปฏิทิน 200 ปี ปรากฏว่า ปฏิทิน 200 ปี ได้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2385
ซึ่งหลังจากเจ้าคำผงได้ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วถึง 47 ปี เป็นปีเดียวกันกับผู้ปกครองเมืองอุบล คนที่ 2 คือ
พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ ในปี 2338 ดังกล่าว ตรงกับวันที่ 10
พฤศจิกายน พ.ศ. 2338 รศ. 14 จ.ศ. 1157 คศ. 1795 ที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาวันที่
10 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันบวงสรวงฯ
เป็นต้นมาตราบเท่าทุกวันนี้ (การนับวัน,เดือน,ปี ตามระบบ "จันทรคติ” ไม่ตรงกันในหนังสือหลายเล่ม
จึงมีมติให้ถือตามระบบ "สุริยคติ” คือวันที่ 10 พฤศจิกายน 2338 เป็นข้อยุติตรงกัน) สำหรับชื่อของการจัดงานนี้
เดิมใช้ชื่อว่า "วันบวงสรวง” พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (
เจ้าคำผง ) โดยหลักการและเหตุผลของคณะกรรมการจัดสร้างอนุสาวรีย์ระดับชาติ ที่ว่า
"อนุสาวรีย์ ที่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าๆให้จัดสร้างขึ้น
ย่อมมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากไม่มีการบวงสรวงสังเวย
ก็เปรียบเสมือนรูปปั้นธรรมดาไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญ” ต่อมาในการประชุมเตรียมงานนี้ครั้งที่
10 พ.ศ. 2548 ที่ประชุมได้พิจารณาว่า วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักในการจัดงานก็เพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ซาบซึ้งในวีกรรมของท่านผู้สร้างเมืองอุบลฯ
ในการรบทัพจับศึกกับอริราชศัตรูผู้รุกราน
ก่อนการก่อตั้งบ้านเมืองจนรุ่งเรืองทุกวันนี้ มี 2
ประการ คือ ประการที่1 การเกิดสงครามติดพันยาวนาน
จนกระทั้งเจ้าพระตาเจ้าพระวอ ต้องสิ้นชีวิตในการสู้รบ เป็นการ
"หลั่งเลือดทาแผ่นดิน เพื่อตั้งถิ่นฐานให้ลูกหลานร่มเย็นเป็นสุขตราบทุกวันนี้”
ประการที่2 การที่เจ้าคำผงต้องต่อสู้กับไพรีที่รุกไล่โจมตี
ทำให้สูญเสียบุพการี จนต้องขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา
พึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรี
เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทร์แตก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต
คืนสู่ราชอาณาจักรอันเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยตอนสำคัญ
ที่พระแก้วมรกตได้มาประดิษฐานเป็นมิ่งมงคล ณ กรุงรัตนโกสินทร์กว่าสองร้อยปี
ซึ่งก่อนหน้านี้ประดิษฐานที่อาณาจักรล้านนา นับพันปี ก่อให้เกิดผลดีคือ
การที่มวลชนทุกหมู่เหล่าผู้อาศัยในแผ่นดิน "อุบลราชธานี” ที่เป็นนามพระราชทานจาก "องก์ปฐมบรมราชวงศ์จักรี” ได้พร้อมเพรียงกันจัดงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น