วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความเป็นมาภูมิปัญญาท้องถิ่นประเพณีอีสาน

ความเป็นมาภูมิปัญญาท้องถิ่นประเพณีอีสาน
ประเพณีล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เข้าสู่สังคมรับเอาแบบปฏิบัติที่หลากหลายเข้ามาผสมผสานในการดำเนินชีวิตประเพณีจึงเรียกได้ว่าเป็น วิถีแห่งการดำเนินชีวิตของสังคมโดยเฉพาะศาสนาซึ่งมีอิทธิพลต่อประเพณีไทยมากที่สุด วัดวาอารามต่างๆในประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมไทยและชี้ให้เห็นว่าชาวไทยให้ความสำคัญในการบำรุงพุทธศาสนาด้วยศิลปกรรมที่งดงามเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาตั้งแต่โบราณกาล เป็นต้น
คำว่า ประเพณี ตามพจนานุกรมภาษาไทยฉบับฑิตยสถาน ได้กำหนดความหมายประเพณีไว้ว่าขนบธรรมเนียมแบบแผน ซึ่งสามารถแยกคำต่างๆออกได้เป็น ขนบ มีความหมายว่า ระเบียบแบบอย่าง

ธรรมเนียม มีความหมายว่า ที่นิยมใช้กันมาและเมื่อนำมารวมกันแล้วก็มีความหมายว่า ความประพฤติที่คนส่วนใหญ่ ยึดคือเป็นแบบแผน และได้ทำการปฏิบัติสืบต่อมา จนเป็นต้นแบบที่จะให้คนรุ่นต่อๆไปได้ประพฤติปฏิบัติตามกันต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเพณีจังหวัดอุดรธานี

ประเพณีจังหวัดอุดรธานี (งานประจำปีทุ่งศรีเมือง บวงสรวงอนุสาวรีย์ )
งานประจำปีทุ่งศรีเมือง มหกรรมโฮมพาแลง แดนผ้าหมี่ขิด งานประจำปีทุ่งศรีเมือง มหกรรมโฮมพาแลง แดนผ้าหมี่ขิด จัดขึ้นระหว่างวันที่  1-15  ธันวาคม  ของทุกปี  ที่สนามทุ่งศรีเมืองอุดรธานี  ในงานมีการออกร้าน  นิทรรศการของแต่ละหน่วยงาน  ทั้งรัฐและเอกชน  มีจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง  หัตถกรรม  และมีการแสดงรื่นเริวมากมาย  และที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม  มีการจัดงานพาแลงอันยิ่งใหญ่


        ในเดือนธันวาคมของทุกปี จังหวัดอุดรธานีจะจัดงานกาชาดทุ่งศรีเมือง อุดรธานี มหกรรมโฮมพาแลงแดนผ้าหมี่ขิดขึ้น คำว่า โฮมพาแลงเป็นภาษาถิ่นอีสาน โฮมหมายถึง รวม พาหมายถึง ถาดหรือสำรับใส่กับข้าว และ แลงหมายถึง เวลาเย็น ดังนั้น โฮมพาแลงจึงหมายถึง การรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน เดิมเป็นเพียงงานเล็กๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเซ่นสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เมื่อถึงช่วงเย็นแต่ละครอบครัวก็จะมีการรับประทานอาหารร่วมกัน มีการบรรเลงเพลงพื้นบ้าน ร่วมกันฟ้อนรำ ถือเป็นการผ่อนคลายหลังทำงานกันมาตลอดปี ปัจจุบันนอกจากจะเป็นการรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว ยังเป็นโอกาสให้ได้พบปะพูดคุย และชมการแสดงร่วมกัน ถือเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดีงามและปฏิบัติกันมาช้านาน 
. งานบวงสรวงอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
         อนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ตั้งอยู่กลางเมืองอุดรธานี พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาสังวาลย์ ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2399 ทรงดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ (เรียกว่า มณฑลอุดรในสมัยต่อมา) ระหว่าง ร.ศ. 112–118 ทรงเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งเมืองอุดรขึ้น เมื่อ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ทรง
                        


จัดวางระเบียบราชการปกครองบ้านเมือง และรับราชการในหน้าที่สำคัญ ๆ ที่อำนวยประโยชน์แก่ราษฎร อนุสาวรีย์พระองค์ท่านนับเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของชาวจังหวัดอุดรธานี จะมีพิธีบวงสรวงในวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี
ฉลองเจ้าปู่ เจ้าย่า อำเภอเมืองอุดรธานี 




        จัดทุกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี  คณะกรรมการศาลเจ้าปู่-ย่า จังหวัดอุดรธานี สมัยที่ 60 จะจัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติองค์เจ้าย่า หรือ งานอาม่าแซ ขึ้น ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เวลา 18.00-21.00 น. ณ ศาลเจ้าปู่-ย่า ตลาดหนองบัว ซึ่งเป็นการจัดงานประเพณีทุกปี ตามความเชื่อของชาวไทยเชื้อสายจีนในจังหวัดอุดรธานีว่า วันสี่หน่วยซิวหยี หรือวันที่ 2 เดือน 4 ปฏิทินจีน จะเป็นวันประสูติขององค์เจ้าย่า หรืออาม่าแซ จะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้น และจะมีประชาชนทั่วไปผู้มีความศรัทธาเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของ อากง-อาม่า จะมาร่วมงานนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว เพื่อให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง ธุรกิจการงานเจริญเติบโต ดังนั้นคณะกรรมการศาลเจ้าปู่-ย่า สมัยที่ 60 จึงขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งได้จัดเตรียมอาหารมงคลหลายอย่างไว้ให้รับประทานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และขอเชิญชวนท่านผู้ใจบุญที่มีความประสงค์จะจัดอาหารมงคลมาคอยต้อนรับให้ผู้มาร่วมงานได้รับประทาน

ประเพณีจังหวัดอุบลราชธานี

ประเพณีจังหวัดอุบลราชธานี ( งานแห่เทียนพรรษา งานประเพณีไหลเรือไฟ )
งานแห่เทียนพรรษา เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดอุบลราชธานี จัดให้มีขึ้นในวันอาสาฬบูชา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 8 และวันเข้าพรรษา บริเวณทุ่งศรีเมืองและศาลาจตุรมุข มีการประกวดต้นเทียน 2 ประเภท คือ ประเภทติดพิมพ์ และประเภทแกะสลัก โดยขบวนแห่จากคุ้มวัดต่างๆ พร้อมนางฟ้าประจำต้นเทียน จะเคลื่อนขบวนจากหน้าวัดศรีอุบลรัตนารามไปตามถนน มาสิ้นสุดขบวนที่ทุ่งศรีเมือง งานประเพณีไหลเรือไฟ บริเวณเชิงสะพานรัตนโกสินทร์ 200 ปี มีการไหลเรือไฟของคุ้มวัดต่างๆ จัดขึ้นในช่วงวันออกพรรษา (ประมาณเดือนตุลาคม)    ประเพณีไหลเรือไฟเป็น ประเพณีสำคัญที่ชาวอีสานสืบทอดปฏิบัติใน เทศกาลออกพรรษาทำกันในวันขึ้น 15 คํ่า หรือ แรม 1 คํ่า เดือน 11 ตามแม่นํ้า
ลำคลอง "เรือไฟ"หรือภาษาถิ่นเรียกว่า "เรือไฟ"นี้เป็นเรือที่ทำด้วยต้นกล้วย ท่อนกล้วยหรือไม้ไผ่ต่อเป็นลำเรือยาวประมาณ 5-6 วา ข้างในบรรจุขนม ข้าวต้มผัดหรือสี่ง ที่ต้องการบริจาคทาน ข้างนอกเรือมีดอกไม้ ธูปเทียน ตะเกียง ขี้ไต้ สำหรับจุดให้สว่างก่อน จะปล่อยเรือไฟซึ่งเรียกว่า "การไหลเรือไฟ" หรือ "ปล่อยเฮือไฟ"  พิธีและกิจกรรม ก่อนถึงวันงานไหลเรือไฟชาวคุ้ม วัดจะช่วยกันประดิษฐ์ตกแต่งเรือไฟด้วย ต้นกล้วยไม้ไผ่หรือวัสดุอย่างใดอย่างหนึ่งให้มีรูปร่างลักษณะ เหมือนเรือมีความยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร จะประดิษฐ์เป็นรูปหงส์ นาค ครุฑ หรือรูปอย่างใดก็ได้ที่คิดว่า สวยงาม มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้เพื่อ ความสวยงามและเพื่อให้การจุดประทีปโคมไฟอยู่ได้ ทนทาน เมื่อถึงวันงานก็จะมีขบวนสนุกสนานสวย งามด้วย ตอนกลางคืนจะมีการไหลเรือไฟจะสุดอยู่ที่แม่น้ำโขง

  


งานสดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)
พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนแรก เป็นบุตรของเจ้าพระตาและนางบุศดี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2252 ณ นครเวียงจันทน์ ท่านเป็นหลานปู่เจ้าปางคำ ราชวงศ์เชียงรุ้ง ผู้สร้างเมืองหนองบัวลุ่มภู (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) หรือนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ในปี พ.ศ. 2311 เจ้าพระตากับเจ้าพระวอ เกิดผิดใจกันกับพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ฝ่ายเวียงจันทน์ได้ยกทัพมาตีเมืองหนองบัวลุ่มภู ต่อสู้กันอยู่ 3 ปี ฝ่ายเมืองหนองบัวลุ่มภูเห็นว่า นานไปจะสู้ฝ่ายเวียงจันทน์ไม่ได้แน่ จึงไปขอกองทัพจากพม่าที่เชียงใหม่มาช่วยรบ แต่กองทัพพม่าได้ยกมาสมทบกับกองทัพเวียงจันทน์ตีเมืองหนองบัวลุ่มภูแตก เจ้าพระตาตายในสนามรบ
เมื่อเมืองหนองบัวลุ่มภูแตก เจ้าพระตาตายในสนามรบ เจ้าพระวอกับเจ้าคำผงและพวกจึงต้องทิ้งเมืองหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนได้ไปอาศัยพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งนครจำปาศักดิ์ โดยตั้งค่ายอยู่บ้านดู่บ้านแก แขวงเมืองจำปาศักดิ์ พระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารได้ขอเอาเจ้านางตุ่ย พระธิดาของเจ้าอุปราชธรรมเทโว ให้เป็นชายาของเจ้าคำผง และทรงแต่งตั้งให้เจ้าคำผงเป็นพระปทุมสุรราช ผู้ช่วยเจ้าพระวอ นายกองนอก ต่อมาพระปทุมสุรราชจึงทรงขอ อพยพมาอยู่ดอนมดแดง

 หลังจากที่พระปทุมสุรราชทรงขออพยพมาอยู่ดอนมดแดง แล้วพระเจ้าสิริบุญสารได้ทราบว่า เจ้าพระวอกับพวกมาตั้งอยู่ที่ค่ายบ้านดู่บ้านแกแขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ และเจ้าพระวอมีกำลังพลน้อย จึงให้พระยาสุโพยกทัพมาตีค่ายบ้านดู่บ้านแกแตก เจ้าพระวอตายในที่รบ พระปทุมสุรราช (เจ้าคำผง) เห็นว่าจะสู้กองทัพเวียงจันทน์ไม่ได้ จึงขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพมาช่วย เมื่อทราบสาเหตุจากพระปทุมสุรราชแล้ว จึงยกทัพตามตีทัพพระยาสุโพไปจนถึงเวียงจันทน์ ได้รบกันอยู่ 4 เดือน เวียงจันทน์จึงแตกเมื่อ พ.ศ. 2322 (สงครามครั้งนี้ส่งผลให้อาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 แห่ง ตกเป็นประเทศราชของไทยสืบมา จนกระทั่งไทยเสียดินแดนเหล่านี้ให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย) ในปี พ.ศ. 2319 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ดอนมดแดง พระประทุมสุรราชจึงทรงพาไพร่พลอพยพหนีน้ำมาอยู่ที่ดอนริมห้วยแจระแม(อยู่เหนือตัวเมืองอุบลราชธานีปัจจุบันประมาณ 8 ก.ม.) เมื่อน้ำลดจึงย้ายไปที่ดงอู่ผึ้ง ริมแม่น้ำมูลเพื่อสร้างเมืองใหม่ เมื่อแล้วเสร็จจึงมีใบบอกลงไปกราบทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีขอตั้งเป็นเมืองอุบล พระเจ้ากรุงธนบุรีให้ตั้งเมืองตามที่ขอไป โปรดเกล้าฯ ให้พระปทุมสุรราชเป็น "พระปทุมราชวงศา" เจ้าเมืองอุบลองค์แรกเมื่อ พ.ศ. 2321 เมื่อพระประทุมราชวงศาร่วมมือกับเจ้าฝ่ายหน้าผู้เป็นน้องชาย ซึ่งไปตั้งกองนอกเก็บส่วยอยู่ที่บ้านสิงห์ท่า (เมืองยโสธรในเวลาต่อมา) และกองทัพเมืองนครราชสีมาช่วยกันปราบกบฏอ้ายเชียงแก้วได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระประทุมราชวงศา เป็น "พระประทุมวรราชสุริยวงศ์" และเสริมนามเมืองอุบลขึ้นเป็น "เมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลประเทศราช" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพ เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1154 (พ.ศ. 2335) ส่วนเจ้าฝ่ายหน้าก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ มีบรรดาศักดิ์เป็นพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช พระประทุมวรราชสุริยวงศ์ครองเมืองอุบลราชธานีมาตั้งแต่ตั้งเมืองมาเป็นเวลา 17 ปี จนถึง พ.ศ. 2338 จึงถึงแก่อนิจกรรม สิริรวมอายุได้ 85 ปี มีการทำพิธีเผาพระศพด้วยเมรุนกสักกะไดลิงก์ที่ทุ่งศรีเมือง แล้วเก็บอัฐิบรรจุธาตุไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองตรงบริเวณที่เป็นธนาคารออมสิน สาขาอุบลฯ ทุกวันนี้ ต่อมาภายหลังมีสร้างเรือนจำขึ้นในบริเวณนั้น จึงย้ายอัฐิไปไว้ที่วัดหลวง และยังอยู่จนปัจจุบัน ปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ของพระปทุมวรราชสุริยวงศ์ ประดิษฐานอยู่ที่ริมทุ่งศรีเมือง กลางเมืองอุบลราชธานีพระประทุมวรราชสุริยวงศ์เป็นต้นกำเนิดของสายสกุลต่างๆ ในเมืองอุบลราชธานีหลายสกุล เช่น ณ อุบล - สกุลนี้สืบเชื้อสายพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ และเจ้าอุปราชธรรมเทโวแห่งนครจำปาสัก ทางฝ่ายพระมารดา สายอุปฮาด (สุดตา) และอุปฮาด (โท) ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุลสายนี้คือ พระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองพิเศษเมืองอุบลราชธานีในสมัยรัชกาลที่ 5 สุวรรณกูฏ - สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองอุบลราชธานีลำดับที่3 บุตรของพระประทุมฯ ,พระบริคุฏคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล สิงหัษฐิต - สายนี้สืบเชื้อสายมาจากพระเกษโกมลสิงห์ขัตติยะ หลานของพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) ผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล คือ พระวิภาคย์พจนกิจ (หนูเล็ก สิงหัษฐิต - บิดาของเติม วิภาคย์พจนกิจ ผู้เขียนหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน) ทองพิทักษ์ - สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางอุปฮาด (สุดตา) พี่ชายของพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) บุตรของพระประทุมฯ ท้าวไกรยราช (พู) บุตรของอุปฮาด เป็นผู้ขอรับพระราชทานนามสกุล อมรดลใจ - สกุลนี้สืบเชื้อสายผ่านทางพระอมรดลใจ (ท้าวสุริยวงศ์ อ้ม) เจ้าเมืองตระการพืชผลคนแรก ท่านนี้เป็นบุตรพระพรหมราชวงศา (กุทอง สุวรรณกูฏ) และเป็นเขยเจ้าครองนครจำปาสัก



               เหตุที่ จัดงาน สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)ในวันวันที่ 10 พฤศจิกายน ของทุกปี เนื่องเพราะวันที่ 10 พฤศจิกายน ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ชาวอุบลราชธานีได้ร่วมกันจัดงาน "สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)ผู้สร้างเมืองอุบลฯ / เจ้าเมืองคนแรก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์ปฐมบรมราชวงศ์จักรี ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2335 ตามจดหมายเหตุ รัชกาลที่ 1 เรื่อง ตั้งเจ้าเมืองอุบลราชธานี ดังนี้ สาเหตุที่ได้กำหนดเอาวันที่ 10 พฤศจิกายน เป็นวัน "สดุดีวีรกรรมพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง)

การกำหนดวันบวงสรวงพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) โดย นายบุญตา หาญวงศ์ประธาน กกต. จว. อุบลราชธานี มีที่มาตามบันทึกการประชุมว่า เมื่อประมาณ 12 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้านายบุญตา หาญวงศ์ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมในการเตรียมการบวงสรวงพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ที่ประชุมได้อภิปรายอย่างกว้างขวางถึงวันบวงสรวงว่า จะถือเอาวันประสูติ หรือ วันถึงแก่อสัญกรรม ในที่สุดที่ประชุม เห็นพ้องต้องกันให้ถือเอาวันถึงแก่อสัญกรรม โดยคุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล ได้ให้ข้อมูลแต่เพียงวันถึงแก่อสัญกรรม ตรงกับวันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 เท่านั้น เมื่อเปิดปฏิทิน 200 ปี ปรากฏว่า ปฏิทิน 200 ปี ได้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2385 ซึ่งหลังจากเจ้าคำผงได้ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้วถึง 47 ปี เป็นปีเดียวกันกับผู้ปกครองเมืองอุบล คนที่ 2 คือ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ ในปี 2338 ดังกล่าว ตรงกับวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2338 รศ. 14 จ.ศ. 1157 คศ. 1795 ที่ประชุมได้มีมติให้ถือเอาวันที่ 10 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็นวันบวงสรวงฯ เป็นต้นมาตราบเท่าทุกวันนี้ (การนับวัน,เดือน,ปี ตามระบบ "จันทรคติไม่ตรงกันในหนังสือหลายเล่ม จึงมีมติให้ถือตามระบบ "สุริยคติคือวันที่ 10 พฤศจิกายน 2338 เป็นข้อยุติตรงกัน) สำหรับชื่อของการจัดงานนี้ เดิมใช้ชื่อว่า "วันบวงสรวงพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ( เจ้าคำผง ) โดยหลักการและเหตุผลของคณะกรรมการจัดสร้างอนุสาวรีย์ระดับชาติ ที่ว่า "อนุสาวรีย์ ที่ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าๆให้จัดสร้างขึ้น ย่อมมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากไม่มีการบวงสรวงสังเวย ก็เปรียบเสมือนรูปปั้นธรรมดาไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญต่อมาในการประชุมเตรียมงานนี้ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2548 ที่ประชุมได้พิจารณาว่า วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายหลักในการจัดงานก็เพื่อให้อนุชนรุ่นหลัง ซาบซึ้งในวีกรรมของท่านผู้สร้างเมืองอุบลฯ ในการรบทัพจับศึกกับอริราชศัตรูผู้รุกราน ก่อนการก่อตั้งบ้านเมืองจนรุ่งเรืองทุกวันนี้ มี 2 ประการ คือ ประการที่1 การเกิดสงครามติดพันยาวนาน จนกระทั้งเจ้าพระตาเจ้าพระวอ ต้องสิ้นชีวิตในการสู้รบ เป็นการ "หลั่งเลือดทาแผ่นดิน เพื่อตั้งถิ่นฐานให้ลูกหลานร่มเย็นเป็นสุขตราบทุกวันนี้”   ประการที่2 การที่เจ้าคำผงต้องต่อสู้กับไพรีที่รุกไล่โจมตี ทำให้สูญเสียบุพการี จนต้องขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมา พึ่งพระบารมีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทร์แตก ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต คืนสู่ราชอาณาจักรอันเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยตอนสำคัญ ที่พระแก้วมรกตได้มาประดิษฐานเป็นมิ่งมงคล ณ กรุงรัตนโกสินทร์กว่าสองร้อยปี ซึ่งก่อนหน้านี้ประดิษฐานที่อาณาจักรล้านนา นับพันปี ก่อให้เกิดผลดีคือ การที่มวลชนทุกหมู่เหล่าผู้อาศัยในแผ่นดิน "อุบลราชธานีที่เป็นนามพระราชทานจาก "องก์ปฐมบรมราชวงศ์จักรีได้พร้อมเพรียงกันจัดงาน


ประเพณีจังหวัดหนองคาย

ประเพณีจังหวัดหนองคาย ( บั้งไฟพญานาค )
ปรากฏการณ์ที่ต้องพิสูจน์กับตา เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ประชาชนเรือนแสนจากทั่วทุกสารทิศทั้งคนไทยและต่างชาติ ต่างมุ่งหน้าสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือ การรอชม "บั้งไฟพญานาค" ที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย และอีกหลายอำเภอที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง เพื่อรอชมลูกไฟสีแดงอมชมพูที่พุ่งขึ้นจากแม่น้ำโขง มีขนาดตั้งแต่หัวแม่มือถึงฟองไข่ไก่ ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ไม่มีการตกลงมา ซึ่งแต่ก่อนตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายเมื่อร้อยกว่าปี ชาวหนองคายเรียกว่า "บั้งไฟผี"ส่วนชาวเวียงจันทน์ สปป.ลาว เรียก "ดอกไม้ไฟน้ำ" ความอัศจรรย์แห่งการเกิด "บั้งไฟพญานาค" สร้างความมหัศจรรย์ให้กับประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง ไทย - ลาว ซึ่งมีความเชื่อและศรัทธาเหมือนกัน และยังสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้นในสังคมเป็นวงกว้าง "บั้งไฟพญานาค"ลูกไฟปริศนาที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ซึ่งในทุกคืนวันออกพรรษาของทุกปี จะมีคนเดินทางไปรอชมปรากฏการณ์นี่ริมฝั่งโขงอย่างคับคั่ง เมื่อยิ่งสงสัย ก็ยิ่งอยากจะไปดูและ

พิสูจน์ให้เห็นกับตา ..... ณ วันนี้ เรื่องราวของ การเกิด "บั้งไฟพญานาค" ยังคงเป็นปริศนา ที่ยังไม่มีสิ่ง



ใดชี้ชัดว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นั้นเกิดขึ้นจากสิ่งใด แม้จะมีความเชื่อที่แตกต่างของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้านในท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า เนื่องในเทศกาลออกพรรษา หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเป็นผู้บรรจงสรรค์สร้างขึ้น! หรืออาจจะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์เป็นผู้ปั้นแต่งขึ้นหลอกลวงมนุษย์ด้วยกันเอง!? ซึ่งนั่นคงไม่ใช่สิ่งสำคัญในการที่จะคุ้ยหาคำตอบ เพราะความคิด ความเชื่อ และศรัทธา ของผู้คนย่อมแตกต่างกัน แต่อีกมุมหนึ่งที่เกิดขึ้นและทุกคนทุกพื้นที่ต่างคิดเห็นและยอมรับเหมือนกัน นั่นก็คือ อานิสงส์ของพญานาคได้สร้างเม็ดเงินรายได้ให้กับชาวหนองคาย และชาวอีสานอีกหลายจังหวัดกันอย่างถ้วนทั่ว อันเกิดจาก "ปรากฏการณ์ของมหาชน"ที่แห่ไปชม"ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค" ตั้งแต่โรงแรมหรูถึงโฮมสเตย์ยันศาลาวัด เป็นที่นอนได้หมด ว่ากันว่าปีนี้น่าจะมีคนมาชมบั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคายมากถึง 300,000-500,000 คน หรืออาจจะมีถึง 700,000 คน เพราะปีนี้มีเดือน 8 สองหน ทำให้วันออกพรรษาของไทย กับวันออกพรรษาของลาวไม่ตรงกัน จึงมีโอกาสเกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นให้เห็นถึง 2 วัน คือวันที่ 28 และ 29 ต.ค. ซึ่งจำนวนคนน่าจะมีมาก พอๆ กับปี 2545 เพราะปีนั้นมีกระแสของภาพยนตร์เรื่อง 15 ค่ำ เดือน 11 และกระแสการนำเสนอข่าวของโทรทัศน์ช่องหนึ่งเกี่ยวกับการเกิดบั้งไฟพญานาค โหมกระหน่ำให้คนเดินทางไปดูกันอย่างเนืองแน่น กลุ่มธุรกิจที่ให้บริการที่พักคือกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์เรื่องเม็ดเงินแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็น รีสอร์ท เกสต์เฮ้าส์ บังกะโล ถูกจองที่พักกันข้ามปี ทั้งยังมีการเปิดศาลากลางจังหวัด และที่ว่าการอำเภอแต่ละแห่ง จนถึง อบต.โรงเรียน ศาลาวัด ให้นักท่องเที่ยวสามารถกางเต้นท์นอนได้ กระนั้นที่พักก็ยังไม่เพียงพอกับจำนวนนักท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดที่พักแบบโฮมสเตย์ไว้รองรับนักท่องเที่ยวอีก 26 หมู่บ้าน ซึ่งล้วนแต่เป็นหมู่บ้านริมแม่น้ำโขง ที่สามารถชมปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคได้


ประเพณีจังหวัดอำนาจเจริญ

๑๕.ประเพณีจังหวัดอำนาจเจริญ ( บุญเข้ากรรมหรือบุญเดือนอ้าย )
                เดือนอ้ายหรือเดือนหนึ่ง หรือบางทีอาจจะเรียกว่าเดือนเจียงก็ได้มีประเพณีการทำบุญประจำเดือน คือ
                                             "บุญเข้ากรรม" ได้มีบทพญาที่กล่าวถึงบุญประจำเดือนนี้ว่า...
ตกฤดูเดือนอ้ายปลายลมมาสิหนาวหน่วง
ตกหว่างช่วงสังโฆเจ้าเพิ่นเข้ากรรม
เฮามาพากันค้ำทำบุญตักบาตร

            การเข้ากรรม คือ การอยู่ปริวาสกรรมของภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งเรื่องของการอาบัตินี้เป็นเรื่องของพระที่ล่วงละเมิดพระวินัยหรือศีลแล้วเกิดโทษหรือความผิด ทีนี้เมื่อเกิดโทษแล้วก็ต้องมีการลงโทษอันเป็นเรื่องธรรมดาของการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องมีขอบเขตของสังคม หรือกฎระเบียบต่างๆ ที่สังคมนั้นๆ บัญญัติขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันรักษาคนหมู่มากหรือสังคมส่วนรวม ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบของสังคมในสังคมของพระก็เช่นเดียวกันมีกฎระเบียบคือศีลของพระ หรือ พระวินัยเมื่อเกิดความผิดหรือการล่วงละเมิดศีลเกิดขึ้นก็ได้มีการชำระโทษหนักบ้าง เบาบ้าง ตามสมควรแก่ความผิดที่เกิดขึ้น ที่หนักที่สุดสำหรับพระคือการขาดจากความเป็นพระ หรือการต้องอาบัติปาราชิกนั่นเอง สำหรับการอยู่ปริวาสกรรมเป็นการลงโทษพระที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งเป็นอาบัติที่มีโทษอย่างกลาง เมื่ออยู่ปริวาสและออกจากปริวาสเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นผู้มีศีลที่บริสุทธิ์ เป็นภิกษุภาวะที่สมบูรณ์แบบ การอยู่ปริวาสนี้ไม่ใช่เรื่องของการล้างบาป แต่เป็นเรื่องของการลงโทษแก่ผู้ประพฤติผิดกฎระเบียบของสังคม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของสังคมทั่วๆ ไปนอกจากนี้คำว่า เข้ากรรม คนอีสานสมัยก่อน ๆ ใช้คำนี้เรียกผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่แล้วอยู่ไฟเพื่อให้มดลูกแห้งและเข้าอู่เร็วว่า "แม่อยู่กรรม" เป็นที่น่าสันนิฐานได้ว่าการอยู่กรรมตามความหมายที่ได้กล่าวไปข้างต้นก็เป็นเหตุผล



อันหนึ่ง และนอกจากนี้ การอยู่กรรม น่าจะมีความหมายอีกลักษณะหนึ่งคือ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ได้อุตส่าห์เลี้ยงลูกให้เติบโตมาด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะแม่นั้นนอกจากเลี้ยงลูกแล้วยังได้ดูแลลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะถ้าหากว่าลูกไม่ได้รับการเลี้ยงดูและการดูแลรักษาอย่างดีจากแม่ตั้งแต่อยู่ในท้อง อาจจะทำให้ลูกเสียชีวิต หรืออาจจะเกิดมามีร่างการไม่สมประกอบ มีความพิกลพิการ เช่นว่า ปากแหว่ง เพดานปากโหว่ แขนด้วน เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะอิทธิพลสารเคมีและตัวยาบางชนิด เช่น ยาธาลิโดไมด์ ยาสเตรปโตมัยซิน ยาคอแรมฟินิคอล เป็นต้น และนอกจากนี้แม่ที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่สมัยใหม่ ก็อาจจะทำให้ลูกเป็นโรคสมองเสื่อม แท้งลูกง่าย คลอดก่อนกำหนดได้โดยอาศัยที่ว่าการอยู่กรรมมีการทรมานตนเช่นว่า มีการนั่งสมาธิเดินจงกรม สวดมนต์ภาวนา ใช้เวลามากกว่าปกติ บางทีมีการอดข้าว อดน้ำถึง ๒-๓ วันก็มี หรือบางทีก็ถูกอาจารย์กรรมฝึกหนัก ทั้งนี้ก็เพื่อให้รู้และเข้าใจความยากลำบากของคำว่า กรรม หรืออยู่กรรม ที่แม่ได้อยู่ไฟหรือว่าอยู่กรรมนั้นมี ความยากลำบากเพียงไร เพราะฉะนั้น คนในสมัยก่อนๆ จึงมีความตระหนักและเข้าใจในบุญคุณของพ่อแม่ ไม่มีข่าวปรากฏให้ได้ยินเห็นว่าลูกฆ่าพ่อ ตีแม่ ลูกอกตัญญ แต่กลับเทิดทูนพ่อแม่ในฐานะปูชนียบุคคลในระดับครอบครัวอย่างแท้จริง ในกิจกรรมของพระในการนี้ พุทธศาสนิกชนผู้หวังบุญกุศลก็ร่วมกันดูแลอุปัฎฐากรักษาพระเจ้าพระสงฆ์ที่เข้าอยู่กรรม บริจาคทาน รักษาศีล ฟังธรรม เกี่ยวกับการเข้าอยู่ปริวาสกรรมของพระภิกษุ เรียกว่า"บุญเข้ากรรม" ส่วนกำหนดการทำบุญดังกล่าวได้กำหนดเอาเดือนอ้าย ส่วนจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรม



ก็ได้ และเพราะมีกำหนดทำกันในระหว่างเดือนอ้ายนี้เอง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"บุญเดือนอ้าย" สำหรับมูลเหตุแห่งชำระศีลให้บริสุทธิ์นี้ มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า ในสมัยพระกัสสัปปพระพุทธเจ้า ได้มีภิกษุรูปหนึ่งพายเรือข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ในระหว่างนั้นแม่น้ำมีกระแสที่ไหลเชี่ยว ท่านได้เอามือจับใบตะใคร้น้ำ เมื่อเรือถูกน้ำพัดไปทำให้ใบตะใคร้น้ำขาด ทานคิดว่าเป็นเรื่องที่มีโทษเล็กน้อย เวลาใกล้ตายคิดอยากแสดงอาบัติ แต่หาภิกษุที่จะรับไม่มี แม้ว่าท่านจะบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่านานถึง ๒๐,๐๐๐ ปีก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะบรรลุธรรมชั้นสูงได้ เวลาตายไปแล้วได้ ไปเกิดเป็นพญานาค ชื่อเอรกปัต หรือแปลว่า นาคใบตะใคร้น้ำ คงจะเป็นเพราะเหตุนี้นักปราชญ์โบราณอีสานจึงได้จัดการเข้ากรรมไว้ให้เป็นประเพณีสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้ บุญซำฮะ ทำบุญชำฮะ ซำฮะ หมายความว่า ชำระ จากภัยต่าง ๆ โดยชาวบ้านจะสร้างประรำพิธีขึ้น ในหมู่บ้าน ผูกต้นกล้วยติดกับเสาประรำทั้งสี่มุมจัดทำอาสนสงฆ์ เตรียมเครื่องบูชาพระรัตนตรัย ด้ายสายสิญจน์ น้ำพระพุทธมนต์ ฝ้ายผูกแขน (ข้อมือ) เครื่องไทยทาน กรวด ทราย หลักไม้ไผ่ ๘ หลัก ตอนเย็นนิมนต์พระมาสวดมนต์ ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นถวายภัตตาหารเช้า ทำพิธี ๓ คืน เช้าวันสุดท้ายถวายสังฆทาน ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ คนเฒ่าคนแก่ผูกแขนให้ชาวบ้าน หว่านกรวดทรายให้ทั่วหมู่บ้าน แล้วขึงด้ายสายสิญจน์ให้รอบหมู่บ้าน เอาหลัก ๘ ทิศไปตอกไว้ตามทิศทั้งแปดของหมู่บ้าน ชาวบ้านจะนำสิ่งปฏิกูล ไปทิ้งนอกบ้านบางแห่งจะทำบุญซำฮะในเดือนสาม โดยเลือกวันขึ้น ๑๔- ๑๕ ค่ำ



ประเพณีจังหวัดหนองบัวลำภู

๑๔.ประเพณีจังหวัดหนองบัวลำภู
.งานพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจังหวัดหนองบัวลำภู สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระสุทธิกษัตรีประสูติที่เมืองพิษณุโลก เมื่อปีพุทธศักราช 2089 เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พุทธศักราช 2133 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 24 แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับกรุงหงสาวดี เมื่อปีพุทธศักราช 2127 หลังจากต้องเสียเอกราชเป็นเวลา 15 ปี ทรงมีพระอัจฉริยภาพอย่างยอดเยี่ยมในการทำสงคราม และทรงเป็นจอมทัพที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ยากที่จะมีผู้ใดเสมอเหมือน จึงทรงชนะศึกสงครามตลอดรัชกาล นับตั้งแต่ทรงศึกชนะพระมหาอุปราชาในสงครามยุทธหัตถี เมื่อวันที่ 18 มกราคม พุทธศักราช 2135 พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาลไปทั่วสุวรรณภูมิ ไม่มีข้าศึกกล้ารุกรานประเทศไทยเป็นเวลาสืบต่อยาวนานถึง 174 ปี ชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่เชื่อถือของนานาประเทศ ในยุโรป ต่างส่งทูตมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทย เศรษฐกิจของชาติเจริญรุ่งเรือง ราษฎรร่มเย็นเป็นสุข จึงได้รับถวายพระนามเป็น "มหาราช" ทรงดำรงสิริราชสมบัติเป็นเวลา 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 ณ เมืองหาง



 เมื่อปีพุทธศักราช 2117 ทรงตามเสด็จสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดายกทัพไปตีลานช้างได้พักทัพ ณ บริเวณหนองบัว เมืองหนองบัวลำภู แต่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระประชวรด้วยไข้ทรพิษ จึงได้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ชาวเมืองหนองบัวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช   เมื่อเดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2510  โดยกรมศิลปากร เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของอนุชนรุ่นหลังสืบไป  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ  เมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2511  ชาวหนองบัวลำภู จึงถือเป็นประเพณีในการประกอบพิธีสักการะบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2511 เป็นต้นมา ซึ่งต่อมารัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 18 มกราคม ของทุกปี เป็น "วันกองทัพไทย" จังหวัดจึงได้กำหนดเป็นวันบวงสรวงสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนได้กำหนดให้พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญในรูปตราประจำจังหวัดหนองบัวลำภูเพื่อความเป็นสิริมงคล 
 ทั้งนี้ จังหวัดหนองบัวลำภูนับเป็นจังหวัดที่มีพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเพียงแห่งเดียวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ                                                         
สำหรับกำหนดการจัดงานสักการะสมเด็จพระเรศวรมหาราช - กาชาดหนองบัวลำภู มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 18 - 27 มกราคม ของทุกปี  ณ สนามสมเด็จนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง  จังหวัดหนองบัวลำภู 
.งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช (อำเภอนากลาง)
        อำเภอนากลาง  ได้ร่วมมือกันจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา     ธันวามหาราช  ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความรู้รักสามัคคี   ถวายความดี  แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา    ธันวามหาราช   เทศบาลตำบลนากลางร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งในเขตอำเภอนากลาง  จัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา    ธันวามหาราช  "รวมใจภักดิ์  รักในหลวง"  โดยได้รับความเห็นชอบตามมติที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการ  ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่  ๓-๗  ธันวาคม  ของทุกปี



ประเพณีบุญผะเหวด(อำเภอโนนสัง)
        บุญผะเหวด  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  บุญมหาชาติ  เป็นงานบุญที่พระสงฆ์ได้แสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพระเวสสันดรชาดก  ซึ่งเป็นเรื่องราวที่กล่าว ถึงพระจริยาวัตรขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร หรือเรียกว่า  มหาเวสสันดรชาดก      มีความยาวถึง  ๑๓  กัณฑ์   การทำบุญผะเหวดจะมีขึ้นในเดือนสี่  ชาวบ้านจะกำหนดวันกันเอง  โดยไม่ให้ตรงกันกับหมู่บ้านใกล้เคียง  ก่อนเทศน์    วัน  ชาวบ้านจะจัดพิธีรับผะเหวดเข้ามาสู่เมือง  ในการจัดขบวนแห่จะมีดนตรีประโคม  ประกอบด้วย  ฆ้อง  กลอง  ผ้าผะเหวดและคนร่วมขบวน  เมื่อขบวนไปถึงบริเวณที่สมมติให้ผะเหวดอยู่  ก็จะเอาขันธ์    ใส่คายเงินไปนิมนต์  พระภิกษุที่สมมติเป็นผะเหวดจะรับนิมนต์ และแสดงธรรมเทศนาสอนพุทธบริษัทก่อนแล้ว  จึงแห่ผะเหวดเข้าเมือง
รูปภาพที36. ประเพณีบุญผะเหวด(อำเภอโนนสัง)
ประเพณีบุญบั้งไฟ(อำเภอศรีบุญเรือง)
        ประเพณีบุญบั้งไฟ   ประเพณีบุญบั้งไฟของอำเภอศรีบุญเรือง  ได้มีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี  ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี  ในงานจะมีการประกวดขบวนแห่  ประกวดผาแดง-นางไอ่ มีการแสดงทางด้านศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ  การฟ้อนรำ  การแสดงหมอลำ  การสาธิตวิธีการทำนา  การสู่ขวัญ  ในขบวนแห่ตอนหัวขบวนจะมีรถที่แห่บั้งไฟมีการประดับประดาบั้งไฟอย่างวิจิตรตระการตา  สวยงามไม่แพ้จังหวัดใดเลยที่เดียว  ต่อมาจะเป็นรถแห่ผาแดง - นางไอ่ ซึ่งคู่ผาแดง - นางไอ่ จะมีคัดเลือกจากเด็กสาว เด็กชายที่มีหน้าตาดี  บุคลิกดีในชุมชนต่าง ๆ เข้าร่วมการประกวด มีการประดับประดารถ  ม้า  ของผาแดง - นางไอ่  อย่างวิจิตรตระการตาสวยงามมาก  ต่อมาจะเป็นการสาธิตประเพณี  ภูมิปัญญาท้องถิ่นต่าง ๆ  แล้วแต่ว่า  ชุมชนใดจะมีความคิดสร้างสรรค์อย่างไร  เป็นต้นว่า  มีการสาธิตการถอนต้นกล้า  มีการสาธิตการตำข้าว  มีการสาธิตการเล่นหมอลำซิ่ง  มีการสาธิตการสาวไหม  ต่อมาจะเป็นขบวนฟ้อนรำของแต่ละชุมชน



    ซึ่งในแต่ละปีจะมีการแข่งขบวนฟ้อนรำว่า ขบวนฟ้อนรำของชุมชนใด จะมีความพร้อมเพรียงสวยงามมากที่สุด  พิธีการต่าง ๆ  จะเริ่มประมาณเที่ยงหรือก่อนเที่ยงไปสิ้นสุดเอาตอนเย็น  ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเนื่องจาก ขบวนแห่ของแต่ละชุมชน มีความยาวมากประมาณ ๒๐๐ -๓๐๐  เมตร ซึ่งขบวนแห่  ได้สร้างความสนุกสนาน  เป็นที่สนใจของชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ได้มาเยี่ยมชมกันเป็นจำนวนมาก  ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นการแสดงออกถึงภูมิปัญญา  และความชาญฉลาดของชาวอีสานที่เน้นความรักความสามัคคี  และมีการสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมชาวอีสาน  ซึ่งชาวอำเภอศรีบุญเรือง ได้ร่วมกันสืบทอดและสืบสานประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามไว้อย่างดีเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสืบทอดต่อไป



 .ประเพณีขึ้นเขาไหว้พระ(อำเภอนาวัง)
        ประเพณีขึ้นเขาไหว้พระ  เมื่อเดือนธันวาคม  ๒๕๓๗  กระทรวงมหาดไทย ได้ประกาศจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูและกิ่งอำเภอนาวังก็ได้ฐานะขึ้นพร้อมกับจังหวัดหนองบัวลำภู โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรกคือนายประภา  ยุวานนท์ ได้ดำริการจัดงานสำคัญของจังหวัดขึ้น โดยมีผู้เสนอการจัดงานขึ้นเขาไหว้พระ และได้ประชุมปรึกษาหารือว่าจะเลือกเอาที่ไหนดีในระหว่างที่มีที่เหมาะสมอยู่ ๓  แห่ง ตามคำขวัญของจังหวัด คือ (อุทยานแห่งชาติ  ภูเก้า  -  ภูพานคำ  แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ )  ที่ประชุมมีมติ เห็นควรจัดที่ถ้ำเอราวัณ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เหมาะสม เช่นถ้ำเอราวัณ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก่อน เส้นทางคมนาคมสะดวก ตลอดจนมีความพร้อมในระดับท้องถิ่นด้วย 


             ปี ๒๕๓๘ ได้มีการจัดงานขึ้นเขาไหว้พระ  ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งได้จัดงานในช่วงสงกรานต์โดยมีนายประภา  ยุวานนท์ ผู้ว่าราชกาจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นประธานในพิธี มี    นายวีระ  จันทรทิพรักษ์  ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอนาวัง เป็นประธานจัดงาน รวมทั้งกำนันตำบลวังทอง  นายล้วน บุญมาตร ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการจัดงานครั้งนี้ด้วย โดยมีรูปแบบการจัดงาน  มีการประกวดขบวนแห่นางผมหอม  ของแต่ละตำบล ประกวดนางผมหอม  พิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำเอราวัณ  ประกวดดนตรีพื้นเมือง  และการจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง มากมาย  จากนั้นมาก็ได้กำหนดจัดงานประเพณีขึ้นเขาไหว้พระขึ้นทุกปี โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๕ เมษายนของทุกปี จนถึงปัจจุบัน



 .ประเพณีบุญข้าวจี่ยักษ์(อำเภอสุวรรณคูหา)
             ประเพณีบุญข้าวจี่ยักษ์   จะเป็นบุญประเพณีเดือน        ซึ่งเป็นความเชื่อตามฮีตสิบสองของชาวอีสาน เป็นการทำบุญหลังจากที่ได้ข้าวใหม่  ชาวบ้านจะทำข้าวจี่โดยใช้ข้าวเหนียวใหม่นึ่งจนสุก เคล้าเกลือแล้วย่างไฟจนเกรียมหอม    ก่อนเอามาทาด้วยไข่ไก่ที่ตีไว้จนทั่ว แล้วนำไปย่างต่อจนสุก การทาไข่จะทาแล้วย่างสลับไปมาสัก ๓ ครั้ง เมื่อได้ข้าวจี่ทาไข่ที่หอมกรุ่นแล้วจะนำน้ำอ้อยมาใส่ในรูที่ถอดไม้ไผ่ออก ก็จะได้ข้าวจี่ทาไข่ที่มีรสชาติอร่อย หอมหวาน 
            จากนั้นชาวบ้านจะนำข้าวจี่ไปรวมกันที่วัดแล้วถวายพระ ก่อนที่จะนำกลับมาแจกลูกหลานที่รออยู่บ้าน   การทำบุญข้าวจี่นี้ชาวบ้านจัดทำติดต่อกันมาทุกปี    โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา  ทางเทศบาลตำบลสุวรรณคูหา  ได้จัดทำข้าวจี่ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน  และยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นเป็นหลัก  จึงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถ